ลองค้นหาคำในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์มากขึ้นหรือน้อยลง: รัฐสภา, -รัฐสภา- |
รัฐสภา | (n) congress, See also: council, parliament, caucus, senate, Syn. สภานิติบัญญัติ, Example: พรรคฝ่ายค้านสามารถคว้าที่นั่งในรัฐสภากลับคืนมาจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด, Thai Definition: สภาที่ทำหน้าที่นิติบัญญัติ ประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้มีสภานิติบัญญัติสภาเดียวให้หมายถึงสภานั้น, Notes: (กฎหมาย) | ประธานรัฐสภา | (n) Speaker of Parliament, See also: President of the National Assembly, Example: พรรคฝ่ายค้านพยายามรวบรวมเสียงของส.ส.เพื่อเข้าชื่อกันขอให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ | สมาชิกรัฐสภา | (n) member of parliament, See also: member of the assembly, Example: การแก้ปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ ต้องอาศัยความคิดเห็นของสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่เป็นเครื่องชี้ขาดตัดสิน |
| รัฐสภา | (รัดถะสะพา, รัดสะพา) น. องค์กรนิติบัญญัติ ทำหน้าที่บัญญัติกฎหมาย ประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร. | คณะกรรมาธิการ | น. คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา แต่งตั้งเพื่อกระทำกิจการ พิจารณาสอบสวน หรือศึกษาเรื่องใด ๆ อันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของสภา แล้วรายงานต่อสภา. | คณะกรรมาธิการร่วมกัน | น. คณะกรรมาธิการของรัฐสภาที่สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาเลือกและแต่งตั้งจากผู้เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกแห่งสภานั้น ๆ เพื่อพิจารณาหรือดำเนินการเรื่องใดที่รัฐสภามอบหมาย. | คณะกรรมาธิการวิสามัญ | น. คณะกรรมาธิการที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา แต่งตั้งจากผู้เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกแห่งสภานั้น ๆ เพื่อปฏิบัติหน้าที่เฉพาะเรื่องที่สภามอบหมาย และเมื่อปฏิบัติหน้าที่เสร็จแล้ว คณะกรรมาธิการนั้นย่อมพ้นจากตำแหน่ง. | ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป | น. มาตรการสำคัญอย่างหนึ่งของระบบรัฐสภาที่ฝ่ายนิติบัญญัติใช้ควบคุมและตรวจสอบฝ่ายบริหาร และฝ่ายบริหารใช้ประโยชน์จากฝ่ายนิติบัญญัติในการรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายนิติบัญญัติ. | นักการเมือง | น. ผู้ฝักใฝ่ในทางการเมือง, ผู้ที่ทำหน้าที่ทางการเมือง เช่นรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา. | ประธาน ๑ | น. ตำแหน่งผู้ที่เป็นหัวหน้าหรือเป็นใหญ่ในที่ประชุม เช่น ตำแหน่งประธานรัฐสภา ตำแหน่งประธานกรรมการ, เรียกผู้ที่เป็นหัวหน้าหรือเป็นใหญ่ในที่ประชุม เช่น ประธานรัฐสภา ประธานกรรมการ. | ฝ่ายค้าน | น. ฝ่ายที่แสดงความเห็นโต้แย้งความเห็นของฝ่ายเสนอในการโต้วาที, ตรงข้ามกับ ฝ่ายเสนอ, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคที่ไม่ได้ร่วมเป็นรัฐบาล ซึ่งทำหน้าที่ค้านรัฐบาลในรัฐสภา, โดยปริยายหมายถึง ผู้ที่มีความเห็นโต้แย้งกับผู้อื่น เช่น เรื่องนี้แม้ใครจะเห็นด้วยก็ตาม แต่ฉันขอเป็นฝ่ายค้าน. | พระราชกำหนด | น. รูปแบบของกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นให้มีผลใช้บังคับไปพลางก่อนตามคำแนะนำของฝ่ายบริหาร เนื่องจากเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ ตามเงื่อนไขที่กำหนดให้รัฐธรรมนูญ พระราชกำหนดเมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้วมีผลใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติ. | เลขาธิการ | น. ผู้ดำรงตำแหน่งบริหารระดับสูงตำแหน่งหนึ่ง เช่น เลขาธิการสหประชาชาติ เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน เลขาธิการรัฐสภา เลขาธิการสมาคม. | สมัยประชุม | น. ระยะเวลาที่กำหนดให้มีการประชุมสภา เช่น สมัยประชุมของรัฐสภา. | สหภาพ | น. การรวมตัวขององค์การตั้งแต่ ๒ องค์การขึ้นไป เพื่อทำกิจการทั่วไปหรือกิจการเฉพาะอย่างตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่เข้าร่วมกันนั้น เช่น สหภาพศุลกากร สหภาพรัฐสภา | องค์กร | น. บุคคล คณะบุคคล หรือสถาบันซึ่งเป็นส่วนประกอบของหน่วยงานใหญ่ที่ทำหน้าที่สัมพันธ์กันหรือขึ้นต่อกัน เช่น คณะรัฐมนตรีเป็นองค์กรบริหารของรัฐ สภาผู้แทนราษฎรเป็นองค์กรของรัฐสภา, ในบางกรณี องค์กร หมายความรวมถึงองค์การด้วย. |
| prorogation | การปิดสมัยประชุม (รัฐสภา) [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | prorogation | การปิดสมัยประชุม (รัฐสภา) [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] | parliamentary procedure; procedure, parliamentary | วิธีดำเนินการทางรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | parliamentary sovereignty | อำนาจอธิปไตยทางรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | parliamentary system | ระบบรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | parliamentary system | ระบบรัฐสภา [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] | parliamentary-cabinet system | ระบบรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | Parliament; House of Parliament | ๑. รัฐสภา (อังกฤษ)๒. อาคารรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | parliament | รัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | Parliament; House of Parliament | ๑. รัฐสภา (อังกฤษ)๒. อาคารรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | parliament | รัฐสภา [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] | parliament chamber | ที่ประชุมรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | Parliament, legislative supremacy of | อำนาจสูงสุดทางนิติบัญญัติของรัฐสภา [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] | parliamentarian | ๑. ผู้นิยมระบอบรัฐสภา๒. สมาชิกรัฐสภา๓. ผู้เชี่ยวชาญการรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | parliamentary absenteeism | การขาดประชุมรัฐสภาเป็นอาจิณ [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | parliamentary control | การควบคุมโดยรัฐสภา [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] | parliamentary counsel | ที่ปรึกษาฝ่ายรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | parliamentary government | การปกครองระบบรัฐสภา [ ดู cabinet government ] [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | parliamentary law | กฎข้อบังคับของรัฐสภา [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] | parliamentary official | ข้าราชการฝ่ายรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | Parliamentary Officials Commission | คณะกรรมการข้าราชการฝ่ายรัฐสภา (ก.ร.) (ไทย) [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | parliamentary papers | เอกสารของรัฐสภา [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] | Parliamentary privilege | เอกสิทธิ์ทางรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | parliamentary privilege | เอกสิทธิ์ของรัฐสภา [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] | procedure, parliamentary; parliamentary procedure | วิธีดำเนินการทางรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | presidential-congressional system | ระบบประธานาธิบดีและรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | legistative supremacy of Parliament | อำนาจสูงสุดทางนิติบัญญัติของรัฐสภา [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] | responsible government | รัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบ (ต่อรัฐสภา) [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] | Supreme Soviet | รัฐสภาโซเวียต [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | system, parliamentary | ระบบรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | system, parliamentary | ระบบรัฐสภา [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] | opposition bench | ที่นั่งฝ่ายค้าน (ในรัฐสภาแบบ อังกฤษ) [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | Ombudsman | ผู้ตรวจการของรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | Ombudsman | ผู้ตรวจการของรัฐสภา [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] | official, parliamentary | ข้าราชการฝ่ายรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | absenteeism, parliamentary | การขาดประชุมรัฐสภาเป็นอาจิณ [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | Address | คำกราบบังคมทูลของรัฐสภา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | address to the Crown | คำกราบบังคมทูล (ของรัฐสภาอังกฤษ) [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] | Queen's Speech | พระราชดำรัสเปิดสมัยประชุมรัฐสภา (อังกฤษ) [ ดู King's Speech ] [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | question in Parliament | กระทู้ถามในรัฐสภา [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] | back bench; bench, back | ที่นั่งแถวหลัง (ในรัฐสภาแบบอังกฤษ) [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | back bencher; bencher, back | สมาชิกสภาแถวหลัง (ในรัฐสภาแบบอังกฤษ) [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | bencher, back; back bencher | สมาชิกสภาแถวหลัง (ในรัฐสภาแบบอังกฤษ) [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | bencher, cross | สมาชิกสภาฝ่ายเป็นกลาง (ในรัฐสภาแบบอังกฤษ) [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | bencher, front | สมาชิกสภาแถวหน้า (ในรัฐสภาแบบอังกฤษ) [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | bench, back; back bench | ที่นั่งแถวหลัง (ในรัฐสภาแบบอังกฤษ) [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | bench, cross | ที่นั่งฝ่ายเป็นกลาง (ในรัฐสภาแบบอังกฤษ) [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | bench, front | ที่นั่งแถวหน้า (ในรัฐสภาแบบอังกฤษ) [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | bench, government | ที่นั่งฝ่ายรัฐบาล (ในรัฐสภาแบบอังกฤษ) [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] | bench, opposition | ที่นั่งฝ่ายค้าน (ในรัฐสภาแบบอังกฤษ) [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
|
| Library of Congress Classification System | ระบบการจัดหมวดหมู่หนังสือของห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน [บรรณารักษ์และสารสนเทศศาสตร์] | Classification, Library of Congress | ระบบการจัดหมู่รัฐสภาอเมริกัน, การวิเคราะห์หนังสือระบบหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน, Example: ระบบการจัดหมู่รัฐสภาอเมริกัน (Library of Congress Classficiation - LC) หรือเรียกสั้นๆ ว่า LC หรือระบบ LCC เป็นระบบที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการจัดหมู่หนังสือของหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน <p> ในระยะแรกก่อตั้งหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน เมื่อปี ค.ศ. 1800 ระบบจัดหมู่หนังสือที่ใช้อยู่นั้น คิดขึ้นโดยจอห์น เบคเลย์ (John Beckley) โดยจัดหนังสือตามขนาดหน้ายก หนังสือขนาดเดียวกันจัดเรียงตามลำดับเลขทะเบียนของหนังสือ <p> ต่อมาในปี ค.ศ. 1812 เมื่อหนังสือมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จึงได้เปลี่ยนเป็นวิธีการจัดหมู่หนังสือตามเนื้อเรื่อง โดยนำระบบจัดหมู่หนังสือของ The Library Company of Philadelphia มาใช้ แบ่งเนื้อเรื่องเป็น 18 หมวด เมื่อห้องสมุดไฟไหม้ จึงได้จัดซื้อหนังสือจำนวน 6, 487 เล่มจากห้องสมุดส่วนตัวของประธานาธิบดีโธมัส เจฟเฟอร์สัน โดยคิดระบบตามที่ประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สัน โดยแบ่งออกเป็น 44 หมวด <p> จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1890 เมื่อมีหนังสือเพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ บรรณารักษ์ของหอสมุดในขณะนั้น คือ จอห์น รัสเซล ยัง (John Russell Young)คิดว่าระบบเดิมไม่เหมาะสม ควรคิดหาระบบใหม่เพื่อให้มีความเหมาะสมมากขึ้น จึงมอบหมายให้ เจมส์ แฮนสัน (James Hanson) และ ชาร์ลส์ มาร์แตล (Charles Martel) ศึกษาหาแนวทางที่จะสร้างระบบจัดหมู่หนังสือใหม่เพื่อใช้ในหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน <p> การศึกษาอย่างจริงจังได้เริ่มเมื่อ เฮอร์เบิร์ต พุตนัม (Herbert Putnum) เข้ามาดำรงตำแหน่งบรรณารักษ์ในปี ค.ศ. 1899 และยังคงมอบหมายให้ แฮนสันและมาร์แตลรับศึกษาต่อไป โดยนำระบบ 3 ระบบ คือ ระบบทศนิยมดิวอี้ ระบบเอ็กแพนซีฟ และระบบจัดหมู่หนังสือของเยอรมัน ชื่อ Halle Schema ของออตโต ฮาร์ตวิก (Otto Hartwig) พบว่า ระบบเอ็กแพนซีฟมีความเหมาะสมมาก เนื่องจากการจัดหมวดหมู่กว้างขวางและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายทุกๆ หมวดตามต้องการ สัญลักษณ์ที่ใช้สามารถขยายได้ทั้งชนิดที่เป็นตัวอักษรและตัวเลข เพราะเป็นสัญลักษณ์ผสม เหมาะกับหอสมุดรัฐสภาอเมริกันซึ่งมีหนังสือจำนวนมาก จึงได้จัดทำระบบหอสมุดรัฐสภาอเมริกันขึ้นโดยยึดหลักการของระบบเอ็กแพนซีฟ <p> มีการจัดทำหมวด Z เป็นหมวดแรก เมื่อปี ค.ศ. 1902 <p> ลักษณะทั่วไปของระบบหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน <p>1. ระบบหอสมุดรัฐสภาอเมริกันเป็นระบบที่คิดขึ้นโดยจัดแบ่งหมวดหมู่ตามสาขาวิชาความรู้ที่มีอยู่จริงของหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน <p>2. สัญลักษณ์เป็นสัญลักษณ์ผสมระหว่างตัวอักษรโรมันตัวพิมพ์ใหญ่และเลขอารบิค โดยอักษรโรมันตัวใหญ่หนึ่งตัวแทนหมวดใหญ่และเพิ่มอักษรโรมันตัวใหญ่อีกหนึ่งหรือสองตัวแทนหมวดย่อย (ยกเว้นหมวด E-F และ Z) และแบ่งหมู่ย่อยต่อไปอีก โดยใช้เลขอารบิคจาก 1-9999 รวมทั้งขยายโดยใช้จุดทศนิยม <p>3. แผนการจัดหมวดหมู่จัดแบ่งวิชาความรู้ในสาขาต่างๆ โดยเริ่มจากเรื่องทั่วไปสู่เรื่องที่เฉพาะยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ <p>3.1 การแบ่งครั้งที่ 1 เป็นการแบ่งเนื้อหาวิชาเป็น 20 หมวดใหญ่ (Main class) โดยใช้อักษรตัวเดียวโดดๆ A-Z ยกเว้น I, O, W, X, Y <p>A ความรู้ทั่วไป (General Works) <p>B ปรัชญา จิตวิทยา ศาสนา (Philosophy, Psychology, Religion) <p>C ศาสตร์ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ (Auxiliary sciences of history) <p>D ประวัติศาสตร์ : เรื่องทั่วไปและประวัติศาสตร์โลกเก่า (History : general and old world) <p>E-F ประวัติศาสตร์ : อเมริกา (History : America) <p>G ภูมิศาสตร์ แผนที่ มานุษยวิทยา นันทนาการ (Geography, Maps, Anthropology, Recreation) <p>H สังคมศาสตร์ (Social science) <p>J รัฐศาสตร์ (Political science) <p>K กฎหมาย (Law) <p>L การศึกษา (Education) <p>M ดนตรี (Music) <p>N ศิลปกรรม (Fine Arts) <p>P ภาษาและวรรณคดี (Languages and Literature) <p>Q วิทยาศาสตร์ (Sciences) <p>R แพทยศาสตร์ (Medicines) <p>S เกษตรศาสตร์ (Agriculture) <p>T เทคโนโลยี (Technology) <p>U ยุทธศาสตร์ (Military science) <p>V นาวิกศาสตร์ (Naval science) <p>Z บรรณานุกรม บรรณารักษศาสตร์ (Bibliography, Library science) <p>3.2 การแบ่งครั้งที่ 2 เป็นการแบ่งหมวดย่อย (subclass) ตามสาขาวิชา โดยใช้ตัวอักษรโรมันตั้งแต่ 2 ตัว ถึง 3 ตัว เป็นสัญลักษณ์ และใช้หลักการเรียงลำดับตามตัวอักษร A-Z ยกเว้นหมวด Z จะไม่มีการแบ่งครั้งที่ 2 เช่น หมวด Q แบ่งออกเป็นหมวดย่อย 12 หมวดดังนี้คือ <p>Q วิทยาศาสตร์ (Science) <p> QA คณิตศาสตร์ (Mathematics) <p> QB ดาราศาสตร์ (Astronomy) <p> QC ฟิสิกส์ (Physics) <p> QD เคมี (Chemistry) <p> QE ธรณีวิทยา (Geology) <p> QH ธรรมชาติวิทยา (Natural History) <p> QK พฤกษศาสตร์ (Botany) <p> QL สัตววิทยา (Zoology) <p> QM กายวิภาคศาสตร์ (Human Anatomy) <p> QP สรีรวิทยา (Physiology) <p> QR จุลชีววิทยา (Microbiology) <p> ซึ่งยังคงแบ่งต่อไปได้อีก เมื่อต้องการขยายเลขหมู่เพิ่มในภายหลัง <p> 3.3 การแบ่งครั้งที่ 3 คือ การแบ่งออกเป็น หมู่ (division) โดยใช้ตัวเลขอารบิกตั้งแต่ 1-9999 ประกอบตัวอักษรโรมัน ในแต่ละหมู่จะมีจำนวนการแบ่งเป็นหมู่ย่อยไม่เท่ากัน เช่น หมวด LA จะแบ่งเป็น LA1-LA 2397 หรือ หมวด HV จะแบ่งเป็น HV 1-HV 9920 เป็นต้น สามารถที่จะขยายเลขหมู่สำหรับวิชาการที่จะเพิ่มใหม่ การแบ่งครั้งที่ 3 มี 2 ลักษณะ คือ <p> 3.3.1 การแบ่งโดยใช้เลขทศนิยม คือ การนำเอาเลขทศนิยมมาขยายเลขย่อยในกลุ่มนั้น ให้ได้เลขหมู่เพิ่มขึ้นสำหรับเนื้อหาวิชาที่ควรจะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน <p> 3.3.2 การแบ่งโดยใช้เลขคัตเตอร์ คือ การใช้ตัวอักษรและตัวเลขสำหรับการแบ่งย่อยเนื้อหาที่ละเอียดลงไปอีก เช่น การแบ่งย่อยตามชื่อทางภูมิศาสตร์ (geographical name) และการแบ่งย่อยตามรายชื่อเนื้อหาวิชาเฉพาะ (special topics) และการแบ่งตามเลขคัตเตอร์สำรองที่ได้กำหนดไว้แล้ว <p> ตัวอย่าง HF 5438.5 HF เป็นหมวดย่อยของ H คือ สังคมศาสตร์ ซึ่ง HF เป็นหมู่ย่อย หมายถึง การค้า (Commerce) และแบ่งออกเป็นหมู่ คือ 5438 หมายถึง การขาย (Selling) จากนั้นแบ่งโดยใช้เลขทศนิยม คือ .5 หมายถึง การส่งเสริมการขาย (Sales promotion) <p> ตัวอย่าง ความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น 600 ปี <p> DS เป็นเลขหมู่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย <p> 575 แบ่งย่อยเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทางการเมืองและการทูต <p> .5 แบ่งย่อยเป็นความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ A-Z <p> .J3 ประเทศญี่ปุ่น (Japan = .J3) <p> จะได้เลขหมู่เป็น DS 575.5.J3 ปัจจุบัน หนังสือคู่มือหมวดหมู่รัฐสภาอเมริกันมีทั้งแบบสิ่งพิมพ์และแบบออนไลน์ <p> บรรณานุกรม <p> Library of Congress. Library of Congress Classification Outline. 2011. [ Online ] Retrieve from: http://www.loc.gov/catdir/cpso/lcco/. Accessed 20110516. <p> กุลธิดา ท้วมสุข. 2533. การวิเคราะห์เลขหมู่หนังสือ. ขอนแก่น : ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. <p> กมลา รุ่งอุทัย. 2533. การวิเคราะห์สารนิเทศระบบหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน ใน เอกสารการสอนชุดวิชา การวิเคราะห์สารนิเทศ หน้า 219-281. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. <p> อัมพร ทีขะระ. 2532. คู่มือการจัดหมู่ระบบหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน. กรุงเทพฯ : ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาััลัย. [บรรณารักษ์และสารสนเทศศาสตร์] | Library of Congress Subject Headings | หัวเรื่องระบบหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน [บรรณารักษ์และสารสนเทศศาสตร์] | ASEAN Inter-Parliamentary Organization (AIPO) | องค์การรัฐสภาอาเซียน [TU Subject Heading] | Asia-Pacific Parliamentarians' Union (APPU) | สหภาพสมาชิกรัฐสภาเอเชียและแปซิฟิก [TU Subject Heading] | Cabinet system | การปกครองระบบรัฐสภา [TU Subject Heading] | Capitols | อาคารรัฐสภา [TU Subject Heading] | Classification, Library of Congress | การวิเคราะห์หนังสือระบบหอสมุดรัฐสภาอเมริกัน [TU Subject Heading] | Great Britain. Parliament | อังกฤษ. รัฐสภา [TU Subject Heading] | Great Britain. Parliament. House of Lords | อังกฤษ. รัฐสภา. สภาขุนนาง [TU Subject Heading] | Japan. National Diet | ญี่ปุ่น. รัฐสภา [TU Subject Heading] | Ombudsman | ผู้ตรวจราชการแห่งรัฐสภา [TU Subject Heading] | Speeches in Congress | สุนทรพจน์ในรัฐสภา [TU Subject Heading] | Thailand. National Assembly. House of Representatives | ไทย. รัฐสภา. สภาผู้แทนราษฎร [TU Subject Heading] | Thailand. National Assembly. Senate | ไทย. รัฐสภา. วุฒิสภา [TU Subject Heading] | Thailand. The National Assembly | ไทย. รัฐสภา [TU Subject Heading] | United States. Congress | สหรัฐอเมริกา. รัฐสภา [TU Subject Heading] | United States. Congress. House | สหรัฐอเมริกา. รัฐสภา. สภาผู้แทนราษฎร [TU Subject Heading] | United States. Congress. Senate | สหรัฐอเมริกา. รัฐสภา. วุฒิสภา [TU Subject Heading] | ASEAN Inter-Parliamentary Organization | องค์การรัฐสภาอาเซียน " เป็นเวทีการประชุมของผู้แทนรัฐสภาของประเทศสมาชิกอาเซียน จัดขึ้น เป็นประจำทุกปี " [การทูต] | apartheid | การปกครองประเทศแบบแบ่งแยกผิวพันธุ์ เป็นระบบปกครองที่ใช้ในสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งโดยไม่ แบ่งแยกผิวพันธุ์ครั้งแรกขึ้นระหว่างวันที่ 26-29 เมษายน 2537 ในระบบการปกครองดังกล่าว ประชาชนแอฟริกาใต้ผิวดำถูกจำกัดสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิทางด้านการเมือง สิทธิการออกเสียงเลือกตั้ง สิทธิรับสมัครเลือกตั้ง การเป็นสมาชิกรัฐสภา การมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินบางพื้นที่ การเลือกที่อยู่อาศัย การใช้สถานที่พักผ่อน การรับราชการ การเข้ารับการศึกษา การประกอบอาชีพ และการใช้บริการสาธารณูปโภคจากรัฐบาล เป็นต้น [การทูต] | Eisenhower Doctrine | ลัทธิไอเซนฮาวร์ เมื่อวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1957 ประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความวิตกห่วงใยในสถานการณ์ที่ล่อแหลมต่ออันตรายในภูมิภาคตะวันออกกลาง ได้อ่านสารพิเศษต่อที่ประชุมร่วมระหว่างสภาผู้แทนกับวุฒิสภาขอร้องให้รัฐสภา สหรัฐฯ ลงมติรับรองโครงการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและทางทหาร เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งเอกราชแห่งชาติของบรรดาประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น ดังนั้น ในการสนองตอบสารพิเศษดังกล่าว รัฐสภาสหรัฐฯ ได้ผ่านข้อมติร่วมกันเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1957 มอบให้ประธานาธิบดีมีอำนาจให้ความร่วมมือและอำนวยความช่วยเหลือแก่ชาติหรือ กลุ่มชาติต่างๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งต้องการความช่วยเหลือเช่นนั้น ในการที่จะพัฒนาพลังทางเศรษฐกิจเพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกราชแห่งชาติตน และให้จัดโครงการช่วยเหลือทางทหารแก่ชาติต่างๆ ในภาคนั้นซึ่งต้องการความช่วยเหลือดังกล่าว ทั้งได้มอบอำนาจให้ประธานาธิบดีสามารถใช้กองทัพสหรัฐฯ เข้าช่วยเหลือชาติเหล่านั้นที่แสดงเจตนาขอความช่วยเหลือ เพื่อต่อต้านการรุกรานจากประเทศใด ๆ ที่อยู่ใต้อำนาจควบคุมของคอมมิวนิสต์ระหว่างประเทศ [การทูต] | Foreign Policy | นโยบายต่างประเทศ คือแผนการดำเนินการในกิจการระหว่างประเทศ ซึ่งผู้กำหนดนโยบายในคณะรัฐบาลเป็นผู้จัดขึ้น ในประเทศที่มีรัฐบาลประชาธิปไตยในรูปรัฐสภา ผู้ที่จะชี้ขาดเรื่องนโยบายต่างประเทศได้แก่คณะรัฐมนตรี อันมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะ และจะได้รับความเห็นชอบจากผู้แทนของประชาชนที่ได้รับการเลือกตั้ง ส่วนรัฐบาลประชาธิปไตยในรูปประธานาธิบดี ตัวประธานาธิบดีเองซึ่งโดยปกติแล้วจะได้รับคำแนะนำจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศ และบุคคลชั้นผู้นำฝ่ายนิติบัญญัติ จะเป็นผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศ [การทูต] | Heads of State | ผู้แทนที่สำคัญที่สุดของรัฐ หรือประมุขของรัฐ ในบางกรณีอาจทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐ ในการเจริญความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ โดยมีอำนาจเต็มที่จะประกอบการใด ๆ ได้ ประมุขของรัฐนั้นอาจได้แก่ พระจักรพรรดิ (Emperor) พระเจ้าแผ่นดิน (King) พระราชินี (Queen) และประธานาธิบดี (President)ประมุขของรัฐย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการเคารพ และการยอมรับนับถือจากประเทศอื่นๆ ในสังคมนานาประเทศ ในแง่พิธีการทูต ผู้ที่เป็นกษัตริย์อาจได้รับเกียรติแตกต่างกับผู้ที่เป็นประธานาธิบดี แต่ความแตกต่างเช่นนี้หามีความสำคัญในแง่กฎหมายอย่างใดไม่ เมื่อประมุขของรัฐเดินทางไปเยือนต่างประเทศ ตัวประมุขพร้อมด้วยบุคคลในครอบครัวและบริวารทั้งหลาย ตลอดจนถึงทรัพย์สินของประมุขจะไดรับความคุ้มกัน (Immunity) ทั้งในทางแพ่งและอาญาคำว่าประมุขของรัฐอาจหมายถึงหัวหน้าของรัฐบาลก็ได้ เช่น ในกรณีสหรัฐอเมริกา แต่ในบางประเทศ เช่น อังกฤษ ประมุขของรัฐมิได้เป็นหัวหน้าของรัฐบาล ผู้ที่เป็นหัวหน้าของรัฐบาลได้แก่ นายกรัฐมนตรี (Prime Minister) ในประเทศที่มีการปกครองในรูปสาธารณรัฐ (Republic) ถือว่าอำนาจอธิปไตยตกอยู่กับประชาชน แม้แต่ตัวประธานาธิบดีของประเทศก็ไม่มีอำนาจอธิปไตย หากแต่เป็นประชาชนพลเมืองคนหนึ่ง ซึ่งได้รับการเลือกตั้งให้เข้าไปบริหารประเทศตามกำหนดระยะเวลาหนึ่งภายใต้ รัฐธรรมนูญ และตัวประธานาธิบดี เช่น ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็อาจถูกฟ้องให้ขับออกจากตำแหน่งโดยรัฐสภา หรือสภานิติบัญญัติได้ เรียกว่า Impeachment [การทูต] | Inter- Parliamentary Union | สหภาพรัฐสภา ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2432 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยูที่นครเจนิวา ประเทศวิตเวอร์แลนด์ มีสมาชิกจำนวน 153 ประเทศ และ 8 กลุ่มสมาชิกสมทบ (กันยายน 2552) [การทูต] | Inter-Parliamentary Union | สหภาพรัฐสภา ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2432 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ มีสมาชิกจำนวน 140 ประเทศ (ตุลาคม 2547) [การทูต] | Neutralization, Neutrality หรือ Neutralism | คำว่า Neutraliza-tion หมายถึง กระบวนการซึ่งรัฐได้รับการค้ำประกันความเป็นเอกราชและบูรณภาพอย่างถาวรภาย ใต้อนุสัญญาระหว่างประเทศ รัฐที่ได้รับการประกันรับรองให้เป็นกลาง (Neutralized State) เช่นนี้จะผูกมัดตนว่า จะละเว้นจาการใช้อาวุธโจมตีไม่ว่าประเทศใดทั้งสิ้น นอกเสียจากว่าจะถูกโจมตีก่อน ตัวอย่างอันเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในเรื่องรัฐที่ได้รับการค้ำประกันความ เป็นกลางอย่างถาวร คือ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตามปฏิญญา (Declaration) ซึ่งมีการลงนามกัน ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1815 ประเทศใหญ่ ๆ ในสมัยนั้น คือ ออสเตรีย ฝรั่งเศส อังกฤษ ปรัสเซีย และรัสเซีย ได้รับรองว่า โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม จึงเป็นการจำเป็นที่จะให้รัฐเฮลเวติก(Helvetic Swiss States) ได้รับการประกันความเป็นกลางตลอดไป ทั้งยังประกาศด้วยว่า รัฐสภาของสวิตเซอร์แลนด์ตกลงรับปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ได้ระบุไว้เมื่อไร ความเป็นกลางของสวิตเซอร์แลนด์ก็จะได้รับการค้ำประกันความเป็นกลางในทันที และแล้วสมาพันธ์สวิตเซอร์แลนด์ก็ได้ประกาศยอมรับปฏิบัติตาม หรือให้ภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1815 บรรดาประเทศที่รับรองค้ำประกันความเป็นกลางของสวิตเซอร์แลนด์จึงประกาศ รับรองดังกล่าว เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1815 อนึ่ง การค้ำประกันความเป็นกลางในลักษณะที่ครอบคลุมทั้งประเทศของรัฐใดรัฐหนึ่ง นั้น มีความแตกต่างกับการค้ำประกันเพียงดินแดนส่วนใดส่วนหนึ่งของรัฐหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าดินแดนส่วนหนึ่งของรัฐที่ได้รับการค้ำประกันความเป็นกลางจะ ไม่ยอมให้ฝ่ายใดใช้ดินแดนส่วนที่ค้ำประกันนั้นเป็นเวทีสงครามเป็นอันขาด การค้ำประกันความเป็นกลางยังมีอีกแบบหนึ่งคือ รัฐหนึ่งจะประกาศตนแต่ฝ่ายเดียวว่าจะรักษาความเป็นกลางของตนตลอดไปโดยถาวร แต่ในกรณีเช่นนี้ ความเป็นเอกราชและบูรณภาพของรัฐที่ประกาศตนเป็นกลางเพียงฝ่ายเดียว จะไม่ได้รับการค้ำประกันร่วมกันจากรัฐอื่น ๆ แต่อย่างใดส่วนคติหรือลัทธิความเป็นกลาง (Neutralism) เป็นศัพท์ที่หมายถึงสถานภาพของรัฐต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการน้ำประเทศของตนเข้ากับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในสงครามเย็น ( Cold War) ที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่ระหว่างกลุ่มประเทศภาคตะวันออกกับกลุ่มประเทศภาค ตะวันตก นอกจากนี้ ผู้นำบางคนในกลุ่มของรัฐที่เป็นกลาง ไม่เห็นด้วยกีบการที่ใช้คำว่า ?Neutralism? เขาเหล่านี้เห็นว่าควรจะใช้คำว่า ?ไม่ฝักใฝ่กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด? ( Uncommitted ) มากกว่าจะเห็นได้ว่า คำว่า ?ความเป็นกลาง? ( Neutrality ) นั้น หมายถึงความเป็นกลางโดยถาวร ซึ่งได้รับการค้ำประกันจากกลุ่มประเทศกลุ่มหนึ่ง เช่นในกรณีประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็ได้หรือหมายถึงความเป็นกลางเฉพาะในดินแดน ส่วนหนึ่งของรัฐที่ไม่ยอมให้ใครเข้าไปทำสงครามกันในดินแดนที่เป็นกลางส่วน นั้นเป็นอันขาดก็ได้ ดังนั้น พอจะเห็นได้ว่า แก่นแท้ในความหมายของความเป็นกลาง ( Neutrality) จึงอยู่ที่ท่าที หรือ ทัศนคติของประเทศที่ดำรงตนเป็นกลาง ไม่ต้องการเข้าข้างประเทศคู่สงครามใด ๆ ในสงคราม ในสมัยก่อนผู้คนยังไม่รู้จักความคิดเรื่องความเป็นกลางดังที่รู้จักเข้าใจ กันในปัจจุบัน ความเป็นกลางเป็นผลมาจากการทยอยวางหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ของความเป็นกลาง นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน [การทูต] | New World Order | ระเบียบใหม่ของโลก คำนี้มีส่วนเกี่ยวพันกับอดีตประธานาธิบดียอร์ช บุช และเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางใจสมัยหลังจากที่ประเทศอิรักได้ใช้กำลัง ทหารรุกรานประเทศคูเวต เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1990 กล่าวคือ ประธานาธิบดียอร์ช บุช มีความวิตกห่วงใยว่า การที่สหรัฐอเมริกาแสดงปฏิกิริยาต่อการรุกรานของอิรักนี้ ไม่ควรจะให้โลกมองไปในแง่ที่ว่า เป็นการปฏิบัติการของสหรัฐแต่ฝ่ายเดียวหากควรจะมองว่าเป็นเรื่องของหลักความ มั่นคงร่วมกัน (Collective Security ) ที่นำออกมาใช้ใหม่ในสมัยหลังสงครามเย็นในสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสภาร่วมทั้ง สองของรัฐสภาอเมริกันเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1990 ประธานาธิบดีบุชได้วางหลักการง่าย ๆ 5 ข้อ ซึ่งประกอบเป็นโครงร่างของระเบียบใหม่ของโลก ตามระเบียบใหม่ของโลกนี้ โลกจะปลอดพ้นมากขึ้นจากการขู่เข็ญหรือการก่อการร้าย ให้ใช้มาตรการที่เข้มแข็งในการแสวงความยุติธรรม ตลอดจนให้บังเกิดความมั่นคงยิ่งขึ้นในการแสวงสันติสุข ซึ่งจะเป็นยุคที่ประชาชาติทั้งหลายในโลก ไม่ว่าจะอยู่ในภาคตะวันออก ตะวันตก ภาคเหนือหรือภาคใต้ ต่างมีโอกาสเจริญรุ่งเรืองและมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวแม้ว่า ระเบียบใหม่ของโลก ดูจะยังไม่หลุดพ้นจากความคิดขั้นหลักการมาเป็นขั้นปฏิบัติอย่างจริงจังก็ตาม แต่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า อย่างน้อยก็เป็นการส่อให้เห็นเจตนาอันแน่วแน่ที่จะกระชับความร่วมมือระหว่าง ประเทศใหญ่ ๆ ทั้งหลายให้มากยิ่งขึ้น ส่งเสริมให้องค์การระหว่างประเทศมีฐานะเข้มแข็งขึ้น และให้กฎหมายระหว่างประเทศมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น ต่อมา เหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในด้านการเมืองของโลกระหว่างปี ค.ศ. 1989 ถึง ค.ศ. 1991 ทำให้หลายคนเชื่อกันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกำลังผันไปสู่หัวเลี้ยวหัวต่อใหม่ กล่าวคือ ความล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุโรปภาคตะวันออก อวสานของสหภาพโซเวียตในฐานะประเทศอภิมหาอำนาจ การยุติของกติกาสัญญาวอร์ซอว์และสงครามเย็น การรวมเยอรมนีเข้าเป็นประเทศเดียว และการสิ้นสุดของลัทธิอะพาไทด์ในแอฟริกาใต้ (คือลัทธิกีดกันและแบ่งแยกผิว) เหล่านี้ทำให้เกิด ?ศักราชใหม่? ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังจะเห็นได้ว่า บรรดาประเทศต่าง ๆ บัดนี้ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันมากขึ้น องค์การสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคงมีศักยภาพสูงขึ้น กำลังทหารมีประโยชน์น้อยลง เสียงที่กำลังกล่าวขวัญกันหนาหูเกี่ยวกับระเบียบใหม่ของโลกในขณะนี้ คือความพยายามที่จะปฏิรูปองค์การสหประชาติใหม่ และปรับกลไกเกี่ยวกับรักษาความมั่นคงร่วมกันให้เข้มแข็งขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สิทธิ์ยับยั้ง (Veto) ในคณะมนตรีความมั่นคง ควรจะเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ โดยจะให้สมาชิกที่มีอำนาจใช้สิทธิ์ยับยั้งนั้นได้แก่สมาชิกในรูปกลุ่มประเทศ (Blocs of States) แทนที่จะเป็นประเทศสมาชิกถาวร 5 ประเทศเช่นในปัจจุบันอย่างไรก็ดี การสงครามอ่าวเปอร์เซียถึงจะกระทำในนามของสหประชาชาติ แต่ฝ่ายที่รับหน้าที่มากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา แม่ว่าฝ่ายที่รับภาระทางการเงินมากที่สุดในการทำสงครามจะได้แก่ซาอุดิอาระ เบียและญี่ปุ่นก็ตาม ถึงแม้ว่าคติของระเบียบใหม่ของโลกจะผันต่อไปในรูปใดก็ดี สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ โลกจะยังคงต้องอาศัยพลังอำนาจ การเป็นผู้นำ และอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาต่อไปอยู่นั่นเอง [การทูต] | Parliamentary Diplomacy | การทูตแบบรัฐสภา หรือบางครั้งเรียกว่า Organization Diplomacy เช่น การทูตในองค์การสหประชาชาติ การทูตแบบนี้ต่างกับการทูตตามปกติที่ดำเนินกันในนครหลวงของประเทศ กล่าวคือ1. นักการทูตมีโอกาสติดต่อโดยใกล้ชิดกับสื่อมวลชนและกับนัการทูตด้วยกันจาก ประเทศอื่น ๆ รวมทั้งจากประเทศที่ไม่เป็นมิตรภายในองค์การสหประชาติ มากกว่าในนครหลวงของประเทศ แต่มีโอกาสน้อยกว่าที่จะติดต่อกับคนชาติของตนอย่างใกล้ชิด2. การพบปะติดต่อกับบรรดานักการทูตด้วยกันในองค์การสหประชาชาติ จะเป็นไปอย่างเป็นกันเองมากกว่าในนครหลวงของประเทศ3. ในองค์การสหประชาติ ประเทศเล็ก ๆ สามารถมีอิทธิพลในการเจรจากับประเทศใหญ่ ๆ ได้มากกว่าในนครของตน เพราะตามปกติ นักการทูตในนครหลวงมักจะติดต่ออย่างเป็นทางการกับนักการทูตในระดับเดียวกัน เท่านั้น แต่ข้อนี้มิได้ปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดนักในสหประชาชาติ ในแง่การปรึกษาหารือกันระหว่างกลุ่ม ในสมัยก่อนที่สงครามเย็นจะสิ้นสุดในสหประชาชาติได้แบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม (Blocs) ด้วยกัน คือกลุ่มเอเชียอัฟริกา กลุ่มเครือจักรภพ (Commonwealth) กลุ่มคอมมิวนิสต์ กลุ่มละตินอเมริกัน กลุ่มยุโรปตะวันตก กลุ่มสแกนดิเนเวีย และกลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ ประเทศที่มิได้ผูกพันเป็นทางการกับกลุ่มใด ๆ ที่กล่าวมา อนึ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับสงครามเย็น สมาชิกประเทศในสหประชาชาติจะรวมกลุ่มกันตามแนวนี้ คือ ประเทศนิยมฝักใฝ่กับประเทศฝ่ายตะวันตก (Pro-West members) ประเทศที่นิยมค่ายประเทศคอมมิวนิสต์ (Pro-Communist members) และประเทศที่ไม่ฝักใฝ่กับฝ่ายใด (Non-aligned members)เกี่ยวกับเรื่องการทูตในการประชุมสหประชาชาติ ในสมัยสงครามเย็น นักการทูตชั้นนำของอินเดียผู้หนึ่งให้ข้อวิจารณ์ว่า ไม่ว่าจะเป็นการประชุมพิจารณากัน การทะเลาะเบาะแว้งด้วยคำผรุสวาทหรือการแถลงโผงผางต่อกันนั้น ล้วนเป็นลักษณะที่ตรงกันข้ามกับลักษณะวิสัยของการทูตทั้งสิ้น ดังนั้น สิ่งที่เป็นไปในการประชุมสหประชาชาติ จึงแทบจะเรียกไม่ได้เลยว่าเป็นการทูต เพราะการทูตที่แท้จริงจะกระทำกันด้วยอารมณ์สงบ ใช้ความสุขุมคัมภีรภาพ ปราศจากกามุ่งโฆษณาตนแต่อย่างใด การแสดงต่าง ๆ เช่น สุนทรพจน์และภาพยนตร์นั้นจะต้องมีผู้ฟังหรือผู้ชม แต่สำหรับการทูตจะไม่มีผู้ฟังหรือผู้ชม (Audience) หากกล่าวเพียงสั้น ๆ ก็คือ ผู้พูดในสหประชาชาติมุ่งโฆษณาหาเสียง หรือคะแนนนิยมจากโลกภายนอก แต่ในการทูตนั้น ผู้พูดมุ่งจะให้มีการตกลงกันให้ได้ในเรื่องที่เจรจากันเป็นจุดประสงค์สำคัญ [การทูต] | The Nordic Council | องค์การที่ตั้งขึ้นเพื่อทำการปรึกษาหารือกัน ระหว่างรัฐสภาของประเทศเดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน รวมทั้งรัฐบาลของประเทศเหล่านี้ เกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องปฎิบัติร่วมกัน กฎข้อบังคับของคณะรัฐมนตรี (Council) ซึ่งประกอบด้วยประเทศเหล่านี้ ได้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1958 คณะมนตรีประกอบด้วยผู้แทนซึ่งได้รับการเลือกตั้ง 69 คน รวมทั้งผู้แทนของรัฐบาลด้วย คณะมนตรีนี้ไม่มีสำนักงานถาวร และไม่มีสำนักเลขาธิการระหว่างประเทศ การประชุมได้กระทำกันโดยหมุนเวียนไปตามนครหลวงของประเทศสมาชิก [การทูต] |
| Parliament has passed the Prevention of Terrorism Act... which allows terrorist suspects to be held by police for up to seven days. | รัฐสภาได้ผ่าน ตามพระราชบัญญัติการป้องกันการก่อการร? ซึ่งช่วยให้ผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายที่จะ จัดขึ้นโดยเ? In the Name of the Father (1993) | He's a Green Beret, Congressional Medal of Honor! Guy's a war hero! | เขาเป็นคนที่ กรินเบเร รัฐสภาเหรียญเกียรติยศ คนคือวีรบุรุษสงคราม! First Blood (1982) | I'm gonna get that son of a bitch... and I'm gonna pin that Congressional Medal of Honor to his liver! | ผมจะได้รับลูกหมานั้น และผมจะไห้รัฐสภาเหรียญเกียรติยศไปที่ตับของเขา First Blood (1982) | "Here lies John Rambo, winner of the Congressional Medal of Honor. | ที่นี่ จอห์น แรมโบ้ ผู้ชนะของรัฐสภาเหรียญเกียรติยศอยู่ First Blood (1982) | The president addressed Congress the other day. | เซสชั่นร่วมกันของรัฐสภาเมื่อ วานนี้ เขาบอกว่าเขาไม่จะ 2010: The Year We Make Contact (1984) | We Parliament members have been begging the public to bear with us while we straighten out the former Prime Minister's historic tax reform blunders, so where, exactly, are we supposed to get that kind of money? | เราสมาชิกรัฐสภาขอให้อดทน กับเหตุการณ์สาธารณะที่เกิดกับเรา... ...ขณะที่เราตรงออกจากรูปแบบการปฎิรูปภาษี ของการผิดพลาดจากรัฐมนตรีท่านแรก ดังนั้นที่ไหน, ความเป็นจริง, คือเราสมมุติการ ได้รับชนิดของเงินหรือไม่? Akira (1988) | Congressmen. The president. | สมาชิกรัฐสภา ท่าน ปธน. Brokedown Palace (1999) | You want me to write to my congressman? | คุณอยากให้ฉันเขียนไปยังสมาชิกรัฐสภา? Brokedown Palace (1999) | W. R. Grace and the U.S. governments patent on Neem was revoked by a case we brought along with the greens of European parliament and the international organic agriculture movement. | บรรษัทดับบลิว อาร์ เกรซ และรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จดสิทธิบัตรต้นนีม ถูกเพิกถอนสิทธิบัตรจากคดีที่เราฟ้องร้อง โดยร่วมมือกับพรรคกรีนของรัฐสภายุโรป The Corporation (2003) | Our own Congressman, the poor man's best friend, | สมาชิกรัฐสภาของพวกเรา เพื่อนที่ดีทีสุดของคนยากจน The Education of Little Tree (1997) | I've brought you to the Library of Congress. Why? | ฉันพานายมาที่ห้องสมุดรัฐสภา. National Treasure (2004) | I know his name was Guy Fawkes and I know in 1605, he attempted to blow up the Houses of Parliament. | เขาคือ กาย ฟลอกส์ และก็รู้ว่าเขาพยายามระเบิดตึกรัฐสภาในปี 1605 V for Vendetta (2005) | Didn't Fawkes try to blow up Parliament? | คนที่เคยจะระเบิดรัฐสภาน่ะ หรือเขาจะทำ V for Vendetta (2005) | You really think blowing up Parliament's going to make this country a better place? | คุณคิดว่าการระเบิดตึกรัฐสภา จะทำให้ประเทศนี้ดีขึ้นจริงเหรอ? V for Vendetta (2005) | A separate report has been filed suggesting a train, despite the fact that the tunnels surrounding Parliament have been sealed shut. | แต่มีรายงานที่แยกออกมาว่า... ...อาจจะเป็นทางรถไฟ, แม้ว่าจะขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ที่อุโมงค์รอบๆรัฐสภา... ...ได้ถูกปิดตายหมดแล้ว. V for Vendetta (2005) | After I destroy Parliament his only chance will be to offer them someone else, some other piece of meat. | หลังจากผมทำลายรัฐสภา... ...สิ่งเดียวที่เขาจะยื่นขอเสนอให้ใครสักคน ใครสักคนที่จะมารับบาปแทนเขา V for Vendetta (2005) | I went by Parliament. | ผมผ่านไปแถวรัฐสภามา V for Vendetta (2005) | These tracks lead to Parliament. | นี่เป็นทางไปที่รัฐสภาใช่ไหม? V for Vendetta (2005) | I will reform our government. | หม่อมฉันจะปฏิรูปรัฐสภาของพวกเราพะยะค่ะ Lee San, Wind of the Palace (2007) | It was salvaged by American whalers, and then Congress sent it back to England. | ถูกพบโดยเรือล่าปลาวาฬของอเมริกา แล้วรัฐสภาส่งคืนให้อังกฤษ. National Treasure: Book of Secrets (2007) | In the Library of Congress. | ห้องสมุดรัฐสภาไง National Treasure: Book of Secrets (2007) | Riley, meet me at the Library of Congress in 20 minutes. | ไรลี่ เจอฉันที่หอสมุดรัฐสภาในอีก 20 นาที National Treasure: Book of Secrets (2007) | So Gates abducts the president, lets him go and heads to the Library of Congress? | เกตส์ ลักพาตัวประธานาธิบดี แต่ปล่อยท่าน แล้วเขาไปที่ห้องสมุดของรัฐสภา ? National Treasure: Book of Secrets (2007) | - Library of Congress! | - หอสมุดอาคารรัฐสภา Eagle Eye (2008) | The Library of Congress, there's a tunnel there. | หอสมุดรัฐสภา ที่นั่นมีอุโมงค์ Eagle Eye (2008) | It'll get you to the Capitol. Find the Sergeant at Arms. | คุณไปให้ถึงอาคารรัฐสภา ตามหาหัวหน้า รปภ Eagle Eye (2008) | Miss Crowley. Welcome to the Capitol. | คุณคราวลีย์ ขอต้อนรับสู้รัฐสภา Eagle Eye (2008) | There are still no named suspects in the attack on the Blair Tunnel and the attacks in the Capitol Building. | ยังคงไม่ปรากฏ ชื่อผู้ต้องสงสัย ในการโจมตีอุโมงค์แบล์ และการโจมตีใน อาคารรัฐสภา Eagle Eye (2008) | In short, the elected congressman | สมาชิกรัฐสภา Chapter One 'The Second Coming' (2008) | We caught up with David Finch speaking to the Marthaville Order of Visionary Southern Gentlemen today as he embarks on his campaign for the U.S. House of Representatives. | เราทีเทปท่านเดวิด ฟลินช์ กล่าวถึงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการออกกฏหมาย ของมาทาร์วิลของสุภาพบุรุษชาวใต้ผู้นี้ ในขณะที่ท่านกำลังดำเนินการเกี่ยวกับแคมเปญ สำหรับผู้แทนคณะรัฐสภา To Love Is to Bury (2008) | I have seen this face before. He's an M.P. (member of parliament). | ฉันเคยเห็นหน้าเขามาก่อน เขาเป็นสมาชิกรัฐสภา The Bank Job (2008) | A White House aide told NBC News today that impeachment of the President by the full House of Representatives now is a virtual certainty. | ทางทำเนียบขาวได้กล่าว\ กับทางเครือข่ายNBCว่า การถอดถอนท่านปธน.โดย รัฐสภายังไม่มีวิธีการ\ ที่ชัดแจ้งในตอนนี้ Frost/Nixon (2008) | I was caught up in a five-front war against a partisan media, a partisan House of Congress, a partisan Ervin Committee. | ผมต้องสู้กับศึกถึงห้าด้าน สู้กับสื่อที่ลำเอียง กับรัฐสภาที่แบ่งพรรคแบ่งพวก กรรมาธิการเออร์วินซึ่งมีความลำเอียง Frost/Nixon (2008) | Then what the hell is he doing in front of the Capitol Building with a bomb strapped to his chest? | งั้นเค้าไปทำบ้าอะไร ที่หน้ารัฐสภา มีระเบิดคาดที่หน้าอกเค้าด้วย Chapter Six 'Shades of Gray' (2009) | The capitol reflecting pool, as soon as you can get there. | ที่สระน้ำตรงกลางรัฐสภา คุณไปที่นั่นทันทีนะ Day 7: 3:00 p.m.-4:00 p.m. (2009) | listen, Jack, if you're with me, meet me at the corner of first and constitution. | ฟังนะแจ็ค ถ้านายเชื่อใจฉัน เจอกันที่หัวมุมตรงรัฐสภา Day 7: 5:00 p.m.-6:00 p.m. (2009) | Don't forget yourself, Congressman. | อย่าลืมตัวของตัวเอง ท่านรัฐสภา The Last Days of Disco Stick (2009) | Congress revoked the right to group assembly. | รัฐสภา เพิกถอนสิทธิ การรวมตัวกันเป็นกลุ่ม The End (2009) | what's left of congress, that is. | สิ่งที่เหลือในรัฐสภา ก็แทบจะ The End (2009) | Well, after congressman kruger died, | ใช่ หลังจากสมาชิกรัฐสภาครูเกอร์ตาย Enough About Eve (2009) | Well, after congressman kruger died, | ใช่ หลังจากสมาชิกรัฐสภาครูเกอร์ตาย The Grandfather: Part II (2009) | We first want to take you to the congressional election, | พวกเราต้องการพาคุณ ไปชมการเลือกตั้งผู้แทนรัฐสภา The Grandfather: Part II (2009) | We are now prepared to call the election in favor | ตอนนี้พวกเราเตรียมตัวที่จะเรียก \ ตำแหน่งผู้แทนรัฐสภา The Grandfather: Part II (2009) | But have fun. | จริงๆแล้ว ฉันกำลังทำงานให้กับ สมาชิกรัฐสภา ทริปป์ แวน เดอร์ บิลท์ They Shoot Humphreys, Don't They? (2009) | Parliament. | รัฐสภา Sherlock Holmes (2009) | Man, ox, eagle, lion. The lion's parliament isn't it? | คน วัว อินทรี สิงห์โต รัฐสภาคือสิงห์โตล่ะสิ? Sherlock Holmes (2009) | You and Blackwood laid the final toches to your ceremony in the sewers beneath parliament less than an hour ago. | คุณกับแบล็กวู๊ด วางแผนสังหารหมู่ ในท่อใต้รัฐสภา ไม่ถึงชั่วโมงก่อน Sherlock Holmes (2009) | and the gas will travel up that shaft and filter through the ventilation system that leads directly to parliament. | และแก๊สจะวิ่งไปตามท่อ และกระจายเข้าสู่ระบบ ระบายอากาศที่พุ่งตรงไปในรัฐสภา Sherlock Holmes (2009) | Flags continue to be flown at half-mast in the U.S. capital have significantly deteriorated developing global recession. | ธงชาติยังคงชักครึ่งเสาที่รัฐสภา เกิดสภาวะตกต่ำอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ Repo Men (2010) | The state legislature- something, anything- | ผู้ว่าฯ แองเล่อร์ต้องการผลักดัน คำสั่งห้ามให้ผ่านรัฐสภาให้ได้ ทำอะไรก็ได้ซักอย่าง You Don't Know Jack (2010) |
| เกี่ยวกับรัฐสภา | [kīokap ratthasaphā] (adj) EN: parliamentary FR: parlementaire | ระบบรัฐสภา | [rabop ratthasaphā] (n, exp) EN: parliamentary system FR: régime parlementaire [ m ] | รัฐสภา | [ratthasaphā] (n) EN: parliament ; congress FR: parlement [ m ] ; congrès [ m ] | สมาชิกรัฐสภา | [samāchik ratthasaphā] (n, exp) EN: member of parliament ; member of the assembly FR: député [ m ] ; parlementaire [ m ] ; membre du Parlement [ m ] |
| | backbench | (n) ที่นั่งของสมาชิกรัฐสภา (ที่ไม่ใช่รัฐมนตรีหรือตำแหน่งสำคัญ), Ant. front bench | bicameral | (adj) (รัฐสภา) ซึ่งมีสองส่วน | lobby | (vi) ชักชวนให้สมาชิกรัฐสภาสนับสนุนการออกกฎหมายฉบับหนึ่ง, See also: วิ่งเต้น, Syn. solicit, beg | lobby | (vt) ชักชวนให้สมาชิกรัฐสภาสนับสนุนการออกกฎหมายฉบับหนึ่ง, See also: วิ่งเต้น | lower house | (n) สภาล่างของรัฐสภา (House of commonsz) | minority government | (n) เสียงข้างน้อยในรัฐสภา | ombudsman | (n) ผู้ตรวจการของรัฐสภา, See also: ผู้ตรวจการที่ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาล | Order Paper | (n) รายการหัวข้อที่อภิปรายในรัฐสภาแต่ละวัน | parliament | (n) รัฐสภา, Syn. House of Commons | parliamentarian | (n) สมาชิกรัฐสภา, Syn. legislator | parliamentarian | (n) ผู้เชี่ยวชาญในกระบวนการและขั้นตอนปฎิบัติงานของรัฐสภา | parliamentary | (adj) เกี่ยวกับรัฐสภา, Syn. governmental, administrative | statehouse | (n) อาคารรัฐสภาของมลรัฐ | unparliamentary | (adj) ซึ่งขัดแย้งกับระเบียบการของรัฐสภา |
| capitol | (แคพ'พิทอล) n. อาคารรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา, อาคารนิติบัญญัติของรัฐ, ศาลากลาง | congress | (คอง'เกรส) { congressed, congressing, congresses } n. รัฐสภา, สภานิติบัญญัติ, การชุมนุม, การสังวาส. vi. รวมกลุ่ม, ชุมนุม, See also: congressional adj. ดูcongress congressionalist n. ดูcongress, Syn. council, assembly, concourse | congressman | (คอง'กริสเมิน) n. สมาชิก (ชาย) รัฐสภาอเมริกา (โดยเฉพาะของสภาผู้แทน) -pl. congressmen | country | (คัน'ทรี) n. ประเทศ, แผ่นดินของประเทศ, รัฐ, ประชากรของท้องถิ่น, รัฐหรือชาติ, ถิ่นบ้านนอก, ชนบท, ถิ่นที่อยู่ adj. ชนบท, บ้านนอก, เกี่ยวกับประเทศ, เกี่ยวกับบ้านเกิดเมืองนอน. --Phr. (across the country ข้ามทุ่งนาทุ่งไร่.) --Phr. (go to the country ยุบรัฐสภาเพื่อเลือกต | house | (n., adj. เฮาซฺ, vt., vi. เฮาซ) n. บ้าน, เรือน, โรง, โรงเรือน, ครอบครัว, สถาบัน, รัฐสภา, วงศ์ตระกูล, ห้องโถง, ช่อง vt. ให้ที่อยู่อาศัย, มี, ซ่อนไว้. vi. พำนัก, หลบซ่อน, อยู่. adj. เกี่ยวกับบ้าน, Syn. dwelling | lower chamber | n. สภาล่างของรัฐสภา (House of Commons) | lower house | n. สภาล่างของรัฐสภา (House of Commons) | majority leader | n. ผู้นำพรรคที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา | minority | (ไมนอ'ริที, มินอ'ริที) n. ชนหมู่น้อย, กลุ่มที่น้อยกว่า, กลุ่มสมาชิกรัฐสภาที่มีเสียงข้างน้อย, ความเป็นผู้เยาว์, Syn. childhood, infancy | parliament | (พาร์'ละเมนท) n. สภา, รัฐสภา, See also: parliamentary adj. | parliamentarian | (พาร์ลิเมนแท'เรียน) n. สมาชิกรัฐสภา | parliamentary | (พาร์ละเมน'ทะรี) adj. เกี่ยวกับรัฐสภา | reading | (รีด'ดิง) n. การอ่าน, การอ่านออกเสียง, การพิจารณากฎหมายตามวิธีของรัฐสภา, ความรู้, การแปล, จำนวนตัวเลขที่อ่านได้จากอุปกรณ์ (เช่นจากปรอทวัดอุณหภูมิ) , การอ่านบทละคร, การบรรเลงดนตรี adj. เกี่ยวกับการอ่าน, ใช้สำหรับอ่าน, Syn. perusal, interpret | right | (ไรทฺ) adj. ถูก, ถูกต้อง, ปกติ, เป็นธรรม, ยุติธรรม, (ด้าน) หน้า, (ด้าน) บน, (ข้าง) ขวา, ตรงไป, เป็นมุมฉาก n. ธรรม, ความยุติธรรม, ความถูกต้อง, สิทธิ, สิทธิตามกฎหมาย, การหันขวา, การเลี้ยวขวา, ฝ่ายที่ถูกต้อง, สมาชิกฝ่ายขวา, สมาชิกรัฐสภาที่นั่งอยู่ทางด้านขวาของประธานสภา vt. ทำให้เรียบร้อย, ทำให่เหทาะสม, แก้แค้น, แก้ไข vi. ทรงตัว, ตั้งตรง adv .เป็นเส้นตรง, อย่างถูกต้อง, แม่นยำ, เหมาะสม | statehouse | (สเทท'เฮาซฺ) n. อาคารรัฐสภาของมลรัฐ, เมืองหลวงของมลรัฐ | summons | (ซัม'เมินซ) n. การเรียกตัว, การออกหมายเรียก, การขอร้อง, การเรียกร้อง, หมายศาล, หมายเรียก, การเรียกตัวให้มาประชุมรัฐสภา. pl. summonses, Syn. subpoena, call | unparliamentary | (อันพาร์ละเมน'ทะรี) adj. ขัดกับวิธีการหรือระเบียบของรัฐสภา. | westminster | (เวสทฺ'มินสเทอะ) n. รัฐสภาอังกฤษ, สภา |
| capitol | (n) ศาลากลาง, สถานที่ประชุมของรัฐสภาอเมริกัน | congress | (n) ที่ประชุม, รัฐสภา, สภานิติบัญญัติ, สภาคองเกรส | congressional | (adj) ซึ่งเกี่ยวกับรัฐสภา, เกี่ยวกับสภานิติบัญญัติ | house | (n) บ้าน, ที่พัก, สำนัก, สถานที่, ครอบครัว, รัฐสภา | legislature | (n) สภานิติบัญญัติ, รัฐสภา | parliament | (n) รัฐสภา, สภานิติบัญญัติ | parliamentary | (adj) เกี่ยวกับรัฐสภา, ของรัฐสภา, ซึ่งมีรัฐสภา | senate | (n) สภาสูง, รัฐสภา, วุฒิสภา | senator | (n) วุฒิสมาชิก, สมาชิกรัฐสภา | senatorial | (adj) เกี่ยวกับวุฒิสภา, เกี่ยวกับสมาชิกรัฐสภา |
| congressman | [คอง'กริสเมิน] (n) สมาชิก(ขาย)รัฐสภาอเมริกา(โดยเฉพาะของสภาผู้แทน) | LC | ระบบการจัดหมวดหมู่แบบรัฐสภาอเมริกัน |
| 国会 | [こっかい, kokkai] (n) รัฐสภา |
| 議会 | [ぎかい, gikai] (n) รัฐสภา |
| | |
add this word
You know the meaning of this word? click [add this word] to add this word to our database with its meaning, to impart your knowledge for the general benefit
Are you satisfied with the result?
Discussions | | |